ElePHanTac119
วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ตอนที่ 3 - ประสบการณ์เริ่มต้น
นี้คือกราฟของ KK ต้นทุน 28 เข้าเมื่อเดือน 11 ปี 2011
ประสบการณ์ช้ำใจเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อผมเองได้ปล่อยของ คือ ADVANC ผมเข้าที่ต้นทุน 8X บาท ช่วงปลายปี 2010 และปล่อยออกไปที่ 13X บาท ซึ่งราคา ณ ปัจจุบันขณะเขียน blog อยู่ที่ 21X บาท เป็นประสบการณ์ช้ำใจ ที่จะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ถ้าเกิดก็ขอให้เก็บได้อย่างน้อย 1 เด้ง หรือ 1 เด้งครึ่งก็ยังดี
ถ้าราคา KK ถึงเป้า ผมคงขาย เพราะ
1) ปันผลไม่เยอะไม่เกิน 5% ซึ่งคิดว่าจะมองหาบริษัทอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้
2) คิดว่าตอนขาย คงได้ขายช่วงตาดเปลี่ยนเทรนด์จากขาขึ้นเป็นอย่างอื่น และราคาถ้าเป็นไปตามเป้า ก็คงถือว่าได้ขึ้นมาสูงเกินไปแล้ว
3) ตัวเองยอมรับว่ายังมองไม่เห็นและไม่เข้าใจการทำธุรกิจของ KK จึงคิดว่าเมื่อราคามาถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าด้วยสาเหตุใจ จะขายออกไปก่อนที่ราคาจะกลับมาต่ำอย่างในอดีตและแกว่งแคบๆ อยู่หลายสิบปี
ไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจและแนวคิดของผมจะถูกหรือผิดตรรกะเพียงใด อย่างน้อยผมก็คิดแนวทางด้วยตัวเอง วางแผนด้วยตัวเอง ลงทุนด้วยตัวเอง ถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่ระยะเริ่มต้น ก็ดีใจและภูมใจว่าเราคนธรรมดาคนนึงก็ทำได้ จะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ได้เริ่มทำตามฝัน ตามใจหวัง ตามความคิดของตัวเองก็ดีแล้ว
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ตอนที่ 2 - ต้องไปเป็นแมงเม่าก่อนเป็นพญาอินทรีย์
หลังจากที่ผมได้ศึกษาการลงทุนแนวเทคนิคมาระยะสั้นๆ ระยะหนึ่งแล้ว ผมได้เจอลิงค์จากกูรูหุ้นที่นำมาโพสไว้บน page ของตัวเอง ซึ่งมันเป็นประโยชน์กับผม และมือใหม่อีกหลายๆ คน ให้ได้รู้จักใช้เครื่องมือทางด้านเทคนิค และคุ้นเคยมากขึ้น โดยเว็บไซท์นั้นก็คือ www.chartgame.com
ผมได้ลองเล่นมาสักพักแล้ว ทำให้ได้สัมผัสอารามณ์ขณะที่เราทำการเทรดจริงๆ (แม้จะเป็นข้อมูลจริงแต่มันก็ไม่ใช่ของจริง เงินจริง กำไรขาดทุนจริงอยู่ดี) ซึ่งผมก็ฝึกฝนอยู่ตามด้านล่างนี้เลยครับ
หลังจากลองพยายามเทรดตามสัญญาณ (มือใหม่แบบลองผิดลองถูกและไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งนัก) Time frame 3mth daily สลับกับ 2yr weekly EMA (15,50) Bollinger Band (14) MACD (default --> 12,26,9) ดูเทรนด์ ขาลงยังไงก็ห้ามเข้า ขาขึ้นสัญญาณซื้อยังบอกให้เข้าช้า ทำให้ได้กำไรน้อย สัญญาณขาย(หนีตาย) ก็ยังช้าทำให้เสียโอกาสในกำไรที่น่าจะได้ตอนราคายังไม่ย่อลงมาเยอะ
ข้อดีของวิธีนี้คือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนปานกลาง แต่ถ้าหุ้นที่อยู่ในขาขึ้นรอบใหญ่ วิธีนี้คุ้มเกินคุ้ม (แต่ขาขึ้นรอบใหญ่จริงๆ ผลตอบแทนจะสู้ buy and hold ไม่ได้)
ข้อเสีย สัญญาณซื้อและขายช้า ทำให้สูญเสียโอกาสในกำไรที่ควรจะได้มากกว่านี้
แนวทางแก้ไข อาจจะใช้ Bollinger Band สั้นลง เผื่อว่าสัญญาณซื้อขายจะได้ชัดเจนรวดเร็วขึ้น แต่อาจจะมาพร้อมกับการเข้าออกที่ถี่มากขึ้น ซึ่งก็ต้องลองดูกันต่อไป เอาใหม่ๆ ครับ
หลังจากลองพยายามเทรดตามสัญญาณ (มือใหม่แบบลองผิดลองถูกและไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งนัก) Time frame 3mth daily สลับกับ 2yr weekly EMA (15,50) Bollinger Band (14) MACD (default --> 12,26,9) ดูเทรนด์ ขาลงยังไงก็ห้ามเข้า ขาขึ้นสัญญาณซื้อยังบอกให้เข้าช้า ทำให้ได้กำไรน้อย สัญญาณขาย(หนีตาย) ก็ยังช้าทำให้เสียโอกาสในกำไรที่น่าจะได้ตอนราคายังไม่ย่อลงมาเยอะ
ข้อดีของวิธีนี้คือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนปานกลาง แต่ถ้าหุ้นที่อยู่ในขาขึ้นรอบใหญ่ วิธีนี้คุ้มเกินคุ้ม (แต่ขาขึ้นรอบใหญ่จริงๆ ผลตอบแทนจะสู้ buy and hold ไม่ได้)
ข้อเสีย สัญญาณซื้อและขายช้า ทำให้สูญเสียโอกาสในกำไรที่ควรจะได้มากกว่านี้
แนวทางแก้ไข อาจจะใช้ Bollinger Band สั้นลง เผื่อว่าสัญญาณซื้อขายจะได้ชัดเจนรวดเร็วขึ้น แต่อาจจะมาพร้อมกับการเข้าออกที่ถี่มากขึ้น ซึ่งก็ต้องลองดูกันต่อไป เอาใหม่ๆ ครับ
เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ตอนที่ 1 - จุดเริ่มจากจิตใต้สำนึก
"ชีวิตมนุษย์ต้องมีเงินออม และต้องนำเงินออมไปลงทุนให้เงินเพิ่มพูน"
ผมถูกแม่สอนมาตลอดชีวิตผมตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ ด้วยการพูดธรรมดาๆ ว่า "ลูกต้องรู้จักเก็บเงินนะลูก" แต่มันไม่เคยได้นำมาปฏิบัติเลย อันที่จริงจิตใจคนเรามันก็เหมือนฟองน้ำ ไม่ว่าจะน้ำสีไหนหยดลงๆ เป็นประจำอยู่ตลอด ฟองน้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้น เหมือนกับจิตใต้สำนึกของคนเราที่แม้ว่าขณะนี้เราจะไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เราถูกสอนมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนึงสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั้นจะส่งผลออกมาโดยที่เริ่มแรกเราอาจจะยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้มีโอกาสเริ่มสังเกตุตัวเองและมองเห็น
ครั้นผมอายุย่างเข้า 19 (พ.ศ.2548) ออกจากชีวิตการเป็นนักเรียนไปเป็นนักศึกษา ตอนเรียนผมก็ไม่ได้ดีหรือแย่อะไร เรียกว่าตามมีตามเกิดน่าจะเหมาะกว่า เมื่อเข้ารั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ผมเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเองอย่างจริงจังขึ้นมากกว่าสมัยยังเรียนมัธยมหรือประถม (หรืออนุบาล) ผมคิดได้ว่าตัวเองควรมีเงินออมหรือเงินเก็บบ้าง อย่างน้อยๆ ก็มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เผื่อไว้หากเราไม่ได้มีพ่อแม่อยู่กับเราแล้ว ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ใครจะยื่นมือเข้ามาช่วย ญาติสนิทตัวผมเองแทบจะไม่รู้จัก ครอบครัวสมัยใหม่ก็อย่างนี้และนะ อาศัยกันเล็กๆ พ่อแม่ลูก(และลูกอีกคน) ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มตั้งใจเก็บเงิน
ช่วงแรกของการเก็บเงินนั้นช่างยากเย็นแสนลำบาก เพราะที่ผ่านๆ มาผมตามใจตัวเองตลอด หรือผมกำลังเข้าทางที่ว่า ทำไมคนเราถึงใช้เงินได้ง่ายกว่าหาเงิน ก็เพราะว่าคนเราชอบที่จะยอมรับ มากกว่าปฏิเสธใจตัวเอง หรือจะให้พูดอีกก็ได้ว่า เงินนั้นหายาก ที่มันยากก็เพราะอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ให้คุณได้ลองเปรียบเทียบดูว่า เวลาคุณจ่ายเงินไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใด คุณจะยอมเลือกจ่ายให้คนอื่น หรือจ่ายให้ตัวเองก่อน และในอัตราส่วนเงินจำนวนหนึ่งหากคุณจะต้องแบ่งให้อีกคน จิตใต้สำนึกคุณมันจะบอกว่าต้องอยากแบ่งให้ตัวเองเยอะกว่าอยู่แล้ว ไม่ต่างกับที่ทำงาน หากคุณเป็นลูกจ้าง นายจ้างก็ต้องพยายามกดค่าแรง ค่าจ้าง เงินเดือนให้น้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนหรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่เมื่อคุณได้เงินมาและรู้ว่ามันไม่ได้กันมาง่ายๆ คุณก็ควรใช้มันอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (แม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้ตามนั้น แต่ก็ต้องพยายามกันล่ะครับ)
กลับมาที่ตัวผม ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ผมมีเท่าไหร่มันไม่เคยเหลือเลย ถึงมีเงินเก็บแต่มันก็ไม่เคยอยู่ได้เกิน 3 เดือน จนกระทั่งจิตใจผมเริ่มเคยชินกับการเก็บ ทีนี้จะเก็บให้มันมากกขึ้นก็คงไม่ยาก (อันที่จริง ที่ผมทำมาแล้ว การเก็บออมเพิ่มขึ้นอีกทีละนิดๆ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย)
เมื่อผมขึ้นปี 2 (พ.ศ.2550) พร้อมๆ กันกับการมีแฟนเป็นตัวเป็นตน (ขณะเขียนก็ยังเป็นคนเดิม หลังจากนี้ไม่รู้ต้องคอยติดตามต่อไป เหะๆ) ผมเริ่มชวนแฟนมาเก็บเงินอีกแรง โดยมีความคิดที่ว่าสองหัวอีกว่าหัวเดียว เงินออมเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะเก็บออมเงินจำนวนเท่ากันทั้งสองคนทุกเดือน ระหว่างนั้นผมรู้แค่ว่าออมเงิน ออมเงิน และออมเงิน แต่ผมไม่ได้รู้เลยว่า ออมเงินในธนาคารอย่างเดียวนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ผมมั่งคั่ง หรือมั่นคงอะไร ประกอบกับพอมาถึงปลายๆ ปี 2 ซึ่งนักศึกษาในคณะบริหารธุรกิจ ต้องเลือก major ที่ตัวเองสนใจ ช่วงนั้นยังผมไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี เลยคิดว่าอยากรู้เรื่องธนาคาร เรื่องการเงิน จนตัดสินใจเลือกเรียน major ของ Finance and Banking ซึ่งบอกได้เลยว่า ชีวิตปี 3 และ ปี 4 ของผม มันกลายเป็นความทุกข์ในการเรียนอย่างสาหัส เพราะเรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง แต่อย่างน้อยผมพยายามที่ที่จะเรียนให้มันผ่านไปให้ได้ มันก็เลยมี (เศษๆ ความรู้) อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง
ในปลายๆ ปี 2 นั้น อีกทางหนึ่ง ผมก็เริ่มหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่สถานการณ์มันพาไป น่าเสียดายที่ผมมาเริ่มอ่านจริงจังหลังจากจบมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นผมคงได้เกรดดีกว่านี้ ผมเริ่มมองหาหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการเงินการลงทุน หรือการเงินส่วนบุคคล ซึ่งช่วงเวลานั้น มันมีหนังสือที่พอจะให้คนทั่วไปอ่านง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ น้อยอยู่ (ไม่เหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีออกมาเยอะมาก เป็นกระแสกเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ stock2morrow) ขณะนั้น หนังสือส่วนใหญ่จะเขียนอยู่ในแนวกรอบกว้างๆ ว่าในตลาดเงิน ตลาดทุน มีสินค้าอะไรที่คุณสามารถนำเงินไปวางไว้ได้บ้าง ตั้งแต่ฝากเงินธนาคาร จนไปถึงหุ้น แต่ไม่มีเล่มไหนที่บอกว่าวิธีการซื้อขายมันต้องเริ่มเข้าไปยังไง เช่น อยากซื้อหุ้น ต้องมีบัญชีซื้อขายนะ ไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์นะ บริษัทหลักทรัพย์มีใครบ้าง ก็ไปดูจากในเว็บ www.set.or.th อะไรประมาณนี้ อันที่จริงก็เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่มองดูแล้วมันน่าจะเป็น common sense แต่ให้เปิดใจหน่อย คือ คนที่ไม่รู้ ไม่บอกเค้า เค้าก็ยังไม่รู้ บางทีบางคนแค่แนะนำนิดหน่อย เค้าก็สามารถไปต่อยอดเองได้แล้ว
ถึงแม้หนังสือส่วนใหญ่จะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายก็ตาม แต่ทุกเล่มที่ผมอ่าน ล้วนเริ่มด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ เริ่มบทแรกๆ ด้วยการกระตุ้น โน้มน้าวจิตใจคนอ่านทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ที่ผมมองว่าเหมาะสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นโอกาส หรือเป็นแรงหนุนอย่างดีสำหรับคนที่สนใจอยู่แล้ว จนกระทั่งผมไปเจอหนังสือของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมจำไม่ได้ว่าหนังสือชื่ออะไร (ข้อเสียของผม ความจำไม่ค่อยดี หลงลืมง่าย) มีหลายเล่มอยู่ ผมได้เริ่มอ่านเล่มหนึ่ง อ่านจบผมก็ไปเหมาหนังสือทุกเล่มที่เขียนโดย ดร.นิเวศน์ (ด้วยการทยอยซื้อ ทีละเล่มสองเล่ม อ่านจบแล้วค่อยไปซื้อเพิ่ม ขืนซื้อทีเดียวครบ ผมคงไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ประทังชีวิตแน่ๆ) ถือเป็นการเริ่มต้นเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องหุ้นจากพื้นฐานกิจการ
อ่านไปเรื่อยๆ จนมาเจอหนังสือของสำนักพิมพ์ stock2morrow ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลการวิเคราะห์หลักทรัพย์ของทั้งสองขั้ว คือทางด้านพื้นฐาน และเทคนิค และช่วงนั้นยังมีรายการทีวี Money Channel ที่ผมดูแรกๆ ยังไม่ค่อยมีรายการน่าสนใจนัก เพราะพูดถึงสิ่งที่คนที่ใหม่กับการลงทุนไม่เข้าใจ ต่างกับปัจจุบันอย่างมาก ด้วยวิธีการนำเสนอแล้ว ผมว่าเด็กวัยรุ่นมัธยมต้น มัธยมปลายมาดูแล้วก็คงทำให้พวกเค้าเหล่านั้นสนใจได้เช่นกัน
ผมเริ่มทำงานก่อนที่จะได้อ่านหนังสือของ stock2morrow ซึ่งหนังสือที่ผมอ่านก็เป็นของคุณ ภาววิทย์ กลิ่นประทุม คงไม่ขอพูดถึงว่าเล่มไหน เพราะอ่านหมดทุกเล่ม รวมทั้งทุกเล่มของสำนักพิมพ์นี้ด้วย ซึ่งหนังสือเหล่านั้นเรียกได้ว่าล้างสมอง หรือจะพูดให้มันดูน่าฟังกว่านี้คือ ได้จุดประกาย จุดไฟแสงสว่างส่องทางให้ผมได้เห็นโอกาสอีกแง่มุมหนึ่งการผสมผสานของการดูเทคนิคประกอบกับพื้นฐาน หรือจะพูดสลับกันก็ได้ (พื้นฐานประกอบกับเทคนิค) และผมก็ค่อยๆ เริ่มสนใจการลงทุนโดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางเทคนิค ความรู้ทุกอย่างที่ผมได้จากการอ่าน มันคือสิ่งที่ผมเรียนในมหาวิทยลัยทั้งหมด อันที่จริงแล้วจะว่าไป ผมมาคิดดูเล่นๆ ว่า หาความรู้จากนอกห้องเรียนก็ได้นี่นะ ไม่เห็นต้องเสียเงินเสียทองไปเรียนเลย มันเหมือนกันเป๊ะเลย แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ วุฒิการศึกษามันคือใบเบิกทางสู่อาชีพ (สู่ลูกจ้าง และสู่กงล้อหนู) ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดี ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี โท หรือเอก หรือสถานศึกษาอื่นๆ ล้วนแต่ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสิ้น (แค่เค้าไม่ได้สอนว่า จะเอาไปใช้ในชิวิตจริงอย่างไรแค่นั้นเอง เต็มที่ก็แค่ case study) รวมทั้งยังเป็นการฝึกฝนตัวเองให้อดทนต่ออุปสรรค์ต่างๆ ที่จะต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนเป้าหมายคือการสำเร็จการศึกษานั่นเอง
ผมถูกแม่สอนมาตลอดชีวิตผมตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ ด้วยการพูดธรรมดาๆ ว่า "ลูกต้องรู้จักเก็บเงินนะลูก" แต่มันไม่เคยได้นำมาปฏิบัติเลย อันที่จริงจิตใจคนเรามันก็เหมือนฟองน้ำ ไม่ว่าจะน้ำสีไหนหยดลงๆ เป็นประจำอยู่ตลอด ฟองน้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้น เหมือนกับจิตใต้สำนึกของคนเราที่แม้ว่าขณะนี้เราจะไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เราถูกสอนมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนึงสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั้นจะส่งผลออกมาโดยที่เริ่มแรกเราอาจจะยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้มีโอกาสเริ่มสังเกตุตัวเองและมองเห็น
ครั้นผมอายุย่างเข้า 19 (พ.ศ.2548) ออกจากชีวิตการเป็นนักเรียนไปเป็นนักศึกษา ตอนเรียนผมก็ไม่ได้ดีหรือแย่อะไร เรียกว่าตามมีตามเกิดน่าจะเหมาะกว่า เมื่อเข้ารั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ผมเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเองอย่างจริงจังขึ้นมากกว่าสมัยยังเรียนมัธยมหรือประถม (หรืออนุบาล) ผมคิดได้ว่าตัวเองควรมีเงินออมหรือเงินเก็บบ้าง อย่างน้อยๆ ก็มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เผื่อไว้หากเราไม่ได้มีพ่อแม่อยู่กับเราแล้ว ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ใครจะยื่นมือเข้ามาช่วย ญาติสนิทตัวผมเองแทบจะไม่รู้จัก ครอบครัวสมัยใหม่ก็อย่างนี้และนะ อาศัยกันเล็กๆ พ่อแม่ลูก(และลูกอีกคน) ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มตั้งใจเก็บเงิน
ช่วงแรกของการเก็บเงินนั้นช่างยากเย็นแสนลำบาก เพราะที่ผ่านๆ มาผมตามใจตัวเองตลอด หรือผมกำลังเข้าทางที่ว่า ทำไมคนเราถึงใช้เงินได้ง่ายกว่าหาเงิน ก็เพราะว่าคนเราชอบที่จะยอมรับ มากกว่าปฏิเสธใจตัวเอง หรือจะให้พูดอีกก็ได้ว่า เงินนั้นหายาก ที่มันยากก็เพราะอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ให้คุณได้ลองเปรียบเทียบดูว่า เวลาคุณจ่ายเงินไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใด คุณจะยอมเลือกจ่ายให้คนอื่น หรือจ่ายให้ตัวเองก่อน และในอัตราส่วนเงินจำนวนหนึ่งหากคุณจะต้องแบ่งให้อีกคน จิตใต้สำนึกคุณมันจะบอกว่าต้องอยากแบ่งให้ตัวเองเยอะกว่าอยู่แล้ว ไม่ต่างกับที่ทำงาน หากคุณเป็นลูกจ้าง นายจ้างก็ต้องพยายามกดค่าแรง ค่าจ้าง เงินเดือนให้น้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนหรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่เมื่อคุณได้เงินมาและรู้ว่ามันไม่ได้กันมาง่ายๆ คุณก็ควรใช้มันอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (แม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้ตามนั้น แต่ก็ต้องพยายามกันล่ะครับ)
กลับมาที่ตัวผม ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ผมมีเท่าไหร่มันไม่เคยเหลือเลย ถึงมีเงินเก็บแต่มันก็ไม่เคยอยู่ได้เกิน 3 เดือน จนกระทั่งจิตใจผมเริ่มเคยชินกับการเก็บ ทีนี้จะเก็บให้มันมากกขึ้นก็คงไม่ยาก (อันที่จริง ที่ผมทำมาแล้ว การเก็บออมเพิ่มขึ้นอีกทีละนิดๆ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย)
เมื่อผมขึ้นปี 2 (พ.ศ.2550) พร้อมๆ กันกับการมีแฟนเป็นตัวเป็นตน (ขณะเขียนก็ยังเป็นคนเดิม หลังจากนี้ไม่รู้ต้องคอยติดตามต่อไป เหะๆ) ผมเริ่มชวนแฟนมาเก็บเงินอีกแรง โดยมีความคิดที่ว่าสองหัวอีกว่าหัวเดียว เงินออมเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะเก็บออมเงินจำนวนเท่ากันทั้งสองคนทุกเดือน ระหว่างนั้นผมรู้แค่ว่าออมเงิน ออมเงิน และออมเงิน แต่ผมไม่ได้รู้เลยว่า ออมเงินในธนาคารอย่างเดียวนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ผมมั่งคั่ง หรือมั่นคงอะไร ประกอบกับพอมาถึงปลายๆ ปี 2 ซึ่งนักศึกษาในคณะบริหารธุรกิจ ต้องเลือก major ที่ตัวเองสนใจ ช่วงนั้นยังผมไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี เลยคิดว่าอยากรู้เรื่องธนาคาร เรื่องการเงิน จนตัดสินใจเลือกเรียน major ของ Finance and Banking ซึ่งบอกได้เลยว่า ชีวิตปี 3 และ ปี 4 ของผม มันกลายเป็นความทุกข์ในการเรียนอย่างสาหัส เพราะเรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง แต่อย่างน้อยผมพยายามที่ที่จะเรียนให้มันผ่านไปให้ได้ มันก็เลยมี (เศษๆ ความรู้) อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง
ในปลายๆ ปี 2 นั้น อีกทางหนึ่ง ผมก็เริ่มหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่สถานการณ์มันพาไป น่าเสียดายที่ผมมาเริ่มอ่านจริงจังหลังจากจบมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นผมคงได้เกรดดีกว่านี้ ผมเริ่มมองหาหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการเงินการลงทุน หรือการเงินส่วนบุคคล ซึ่งช่วงเวลานั้น มันมีหนังสือที่พอจะให้คนทั่วไปอ่านง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ น้อยอยู่ (ไม่เหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีออกมาเยอะมาก เป็นกระแสกเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ stock2morrow) ขณะนั้น หนังสือส่วนใหญ่จะเขียนอยู่ในแนวกรอบกว้างๆ ว่าในตลาดเงิน ตลาดทุน มีสินค้าอะไรที่คุณสามารถนำเงินไปวางไว้ได้บ้าง ตั้งแต่ฝากเงินธนาคาร จนไปถึงหุ้น แต่ไม่มีเล่มไหนที่บอกว่าวิธีการซื้อขายมันต้องเริ่มเข้าไปยังไง เช่น อยากซื้อหุ้น ต้องมีบัญชีซื้อขายนะ ไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์นะ บริษัทหลักทรัพย์มีใครบ้าง ก็ไปดูจากในเว็บ www.set.or.th อะไรประมาณนี้ อันที่จริงก็เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่มองดูแล้วมันน่าจะเป็น common sense แต่ให้เปิดใจหน่อย คือ คนที่ไม่รู้ ไม่บอกเค้า เค้าก็ยังไม่รู้ บางทีบางคนแค่แนะนำนิดหน่อย เค้าก็สามารถไปต่อยอดเองได้แล้ว
ถึงแม้หนังสือส่วนใหญ่จะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายก็ตาม แต่ทุกเล่มที่ผมอ่าน ล้วนเริ่มด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ เริ่มบทแรกๆ ด้วยการกระตุ้น โน้มน้าวจิตใจคนอ่านทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ที่ผมมองว่าเหมาะสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นโอกาส หรือเป็นแรงหนุนอย่างดีสำหรับคนที่สนใจอยู่แล้ว จนกระทั่งผมไปเจอหนังสือของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมจำไม่ได้ว่าหนังสือชื่ออะไร (ข้อเสียของผม ความจำไม่ค่อยดี หลงลืมง่าย) มีหลายเล่มอยู่ ผมได้เริ่มอ่านเล่มหนึ่ง อ่านจบผมก็ไปเหมาหนังสือทุกเล่มที่เขียนโดย ดร.นิเวศน์ (ด้วยการทยอยซื้อ ทีละเล่มสองเล่ม อ่านจบแล้วค่อยไปซื้อเพิ่ม ขืนซื้อทีเดียวครบ ผมคงไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ประทังชีวิตแน่ๆ) ถือเป็นการเริ่มต้นเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องหุ้นจากพื้นฐานกิจการ
อ่านไปเรื่อยๆ จนมาเจอหนังสือของสำนักพิมพ์ stock2morrow ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลการวิเคราะห์หลักทรัพย์ของทั้งสองขั้ว คือทางด้านพื้นฐาน และเทคนิค และช่วงนั้นยังมีรายการทีวี Money Channel ที่ผมดูแรกๆ ยังไม่ค่อยมีรายการน่าสนใจนัก เพราะพูดถึงสิ่งที่คนที่ใหม่กับการลงทุนไม่เข้าใจ ต่างกับปัจจุบันอย่างมาก ด้วยวิธีการนำเสนอแล้ว ผมว่าเด็กวัยรุ่นมัธยมต้น มัธยมปลายมาดูแล้วก็คงทำให้พวกเค้าเหล่านั้นสนใจได้เช่นกัน
ผมเริ่มทำงานก่อนที่จะได้อ่านหนังสือของ stock2morrow ซึ่งหนังสือที่ผมอ่านก็เป็นของคุณ ภาววิทย์ กลิ่นประทุม คงไม่ขอพูดถึงว่าเล่มไหน เพราะอ่านหมดทุกเล่ม รวมทั้งทุกเล่มของสำนักพิมพ์นี้ด้วย ซึ่งหนังสือเหล่านั้นเรียกได้ว่าล้างสมอง หรือจะพูดให้มันดูน่าฟังกว่านี้คือ ได้จุดประกาย จุดไฟแสงสว่างส่องทางให้ผมได้เห็นโอกาสอีกแง่มุมหนึ่งการผสมผสานของการดูเทคนิคประกอบกับพื้นฐาน หรือจะพูดสลับกันก็ได้ (พื้นฐานประกอบกับเทคนิค) และผมก็ค่อยๆ เริ่มสนใจการลงทุนโดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางเทคนิค ความรู้ทุกอย่างที่ผมได้จากการอ่าน มันคือสิ่งที่ผมเรียนในมหาวิทยลัยทั้งหมด อันที่จริงแล้วจะว่าไป ผมมาคิดดูเล่นๆ ว่า หาความรู้จากนอกห้องเรียนก็ได้นี่นะ ไม่เห็นต้องเสียเงินเสียทองไปเรียนเลย มันเหมือนกันเป๊ะเลย แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ วุฒิการศึกษามันคือใบเบิกทางสู่อาชีพ (สู่ลูกจ้าง และสู่กงล้อหนู) ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดี ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี โท หรือเอก หรือสถานศึกษาอื่นๆ ล้วนแต่ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสิ้น (แค่เค้าไม่ได้สอนว่า จะเอาไปใช้ในชิวิตจริงอย่างไรแค่นั้นเอง เต็มที่ก็แค่ case study) รวมทั้งยังเป็นการฝึกฝนตัวเองให้อดทนต่ออุปสรรค์ต่างๆ ที่จะต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนเป้าหมายคือการสำเร็จการศึกษานั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ศัพท์โจร
Source: http://arjarnbomb.blogspot.com/2009/08/thief-burglar-robber.html
จากเจ้าของบทความ
"ผมได้รับแรงบันดาลใจในการเขียน blog วันนี้ จากเหตุการณ์ที่เพื่อนผมโดนผู้ ประสงค์ร้าย ทุบกระจกรถแล้วขโมยเอา โน๊ตบุ๊ค ตัวเก่ง ไป ในลานจอดรถของห้าง โลตัส สาขาตลาดคำเที่ยง เชียงใหม่ ผมเลยอยากรวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพวกหัวขโมยพวกนี้ (เท่าที่ผมนึกออก) มาให้ท่านผู้อ่านได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน มาเริ่มกันที่คำแรกก่อนเลย
Thief (อ่านว่า ธีฟ ) แปลว่า ขโมย
คำ นี้เป็นคำนาม หมายถึงพวกหัวขโมยทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่จะใช้ในความหมายของพวกลักเล็กขโมยน้อย ทั่วๆ ไป เราลองมาดูพวกหัวโขมยอีกประเภทนึงนะครับ
Burglar (อ่านว่า เบ้อ-กเลอร์) แปลว่า ขโมยแนวย่องเบา
คำ นี้เป็นคำนาม ใช้กับพวกตีนแมว ย่องเบา แอบเข้าบ้านขโมยของ หัวขโมยพวกนี้ไม่ค่อยมีอาวุธหรืออะไรมากไปกว่าอุปกรณ์งัดแงะ ใช้จังหวะเจ้้าบ้านเผลอหลับ หรือไม่อยู่บ้านแอบเข้าไปลักเล็กขโมยน้อย แต่ถ้าโจรอีกประเภท คือ
Bandit (อ่านว่า แบ้น ดิท) แปลว่า โจร
โจรประเภทนี้ จะดุเดือดกว่าพวกแรกเพราะ พวก Bandit นี้จะเป็นโจรที่ใช้อาวุธในการปล้นและไปกันทีละหลายๆ คน ออกแนวยกพวกบุกปล้น หรือไอ้เสือบุก ! กวาดทรัพย์ฆ่าเจ้าบ้านอย่างไม่เกรงกลัว เรามาลองดูอีกคำดีไหมครับ
Robber (อ่านว่า ร๊อบ เบ่อร์) แปลว่า โจร
คำนี้ใช้กับพวกโจรที่ใช้กำลังความรุนแรงหรือใช้อาวุธในการบังคับเอาทรัพย์สินเช่นเดียวกันกับ Bandit แต่จุดที่ต่างกันคือ Robber อาจไปกันแค่ คนสองคน แล้วบุกปล้น ไม่ได้ไปกันเป็นทีมเหมือนพวก bandit และ มักจะเป็นการใช้กับการปล้นธนาคาร หรือร้านทอง ร้านเพชร ถ้าเป็นโจรปล้นธนาคาร เราเรียกว่า Bank Robber
ก่อนจบขอฝากคำสำนวน หรือ idioms ภาษาอังกฤษไว้อีกคำ คำนี้น่าสนใจดีนะครับ นั่นคือคำว่า rob the cradle ถ้าแยกคำแปลออกมา cradle (อ่านว่า เคร้ เดิ่ล) แปลว่า เปลของเด็กทารก ถ้าแปลตรงๆ ตัวก็คือ ปล้นเปลเด็ก ซึ่งฟังแล้วก็งง แต่ความหมายแฝงในที่่นี้ก็คือ การมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว กับคนที่อายุน้อยกว่า หรือ ปล้นสวาทเด็ก หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "กินเด็ก" นั่นเอง ผมขอฝากคำนี้ไว้เป็นพิเศษให้กับเพื่อนๆ สมาชิกสมาคมคนรักเด็กนะครับ.. รักเด็ก.. รักได้ แต่อย่าเผลอไป rob the cradle นะครับ"
ขอบคุณเจ้าของบทความจาก http://arjarnbomb.blogspot.com/2009/08/thief-burglar-robber.html
จากเจ้าของบทความ
"ผมได้รับแรงบันดาลใจในการเขียน blog วันนี้ จากเหตุการณ์ที่เพื่อนผมโดนผู้ ประสงค์ร้าย ทุบกระจกรถแล้วขโมยเอา โน๊ตบุ๊ค ตัวเก่ง ไป ในลานจอดรถของห้าง โลตัส สาขาตลาดคำเที่ยง เชียงใหม่ ผมเลยอยากรวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพวกหัวขโมยพวกนี้ (เท่าที่ผมนึกออก) มาให้ท่านผู้อ่านได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน มาเริ่มกันที่คำแรกก่อนเลย
Thief (อ่านว่า ธีฟ ) แปลว่า ขโมย
คำ นี้เป็นคำนาม หมายถึงพวกหัวขโมยทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่จะใช้ในความหมายของพวกลักเล็กขโมยน้อย ทั่วๆ ไป เราลองมาดูพวกหัวโขมยอีกประเภทนึงนะครับ
Burglar (อ่านว่า เบ้อ-กเลอร์) แปลว่า ขโมยแนวย่องเบา
คำ นี้เป็นคำนาม ใช้กับพวกตีนแมว ย่องเบา แอบเข้าบ้านขโมยของ หัวขโมยพวกนี้ไม่ค่อยมีอาวุธหรืออะไรมากไปกว่าอุปกรณ์งัดแงะ ใช้จังหวะเจ้้าบ้านเผลอหลับ หรือไม่อยู่บ้านแอบเข้าไปลักเล็กขโมยน้อย แต่ถ้าโจรอีกประเภท คือ
Bandit (อ่านว่า แบ้น ดิท) แปลว่า โจร
โจรประเภทนี้ จะดุเดือดกว่าพวกแรกเพราะ พวก Bandit นี้จะเป็นโจรที่ใช้อาวุธในการปล้นและไปกันทีละหลายๆ คน ออกแนวยกพวกบุกปล้น หรือไอ้เสือบุก ! กวาดทรัพย์ฆ่าเจ้าบ้านอย่างไม่เกรงกลัว เรามาลองดูอีกคำดีไหมครับ
Robber (อ่านว่า ร๊อบ เบ่อร์) แปลว่า โจร
คำนี้ใช้กับพวกโจรที่ใช้กำลังความรุนแรงหรือใช้อาวุธในการบังคับเอาทรัพย์สินเช่นเดียวกันกับ Bandit แต่จุดที่ต่างกันคือ Robber อาจไปกันแค่ คนสองคน แล้วบุกปล้น ไม่ได้ไปกันเป็นทีมเหมือนพวก bandit และ มักจะเป็นการใช้กับการปล้นธนาคาร หรือร้านทอง ร้านเพชร ถ้าเป็นโจรปล้นธนาคาร เราเรียกว่า Bank Robber
ก่อนจบขอฝากคำสำนวน หรือ idioms ภาษาอังกฤษไว้อีกคำ คำนี้น่าสนใจดีนะครับ นั่นคือคำว่า rob the cradle ถ้าแยกคำแปลออกมา cradle (อ่านว่า เคร้ เดิ่ล) แปลว่า เปลของเด็กทารก ถ้าแปลตรงๆ ตัวก็คือ ปล้นเปลเด็ก ซึ่งฟังแล้วก็งง แต่ความหมายแฝงในที่่นี้ก็คือ การมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว กับคนที่อายุน้อยกว่า หรือ ปล้นสวาทเด็ก หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "กินเด็ก" นั่นเอง ผมขอฝากคำนี้ไว้เป็นพิเศษให้กับเพื่อนๆ สมาชิกสมาคมคนรักเด็กนะครับ.. รักเด็ก.. รักได้ แต่อย่าเผลอไป rob the cradle นะครับ"
ขอบคุณเจ้าของบทความจาก http://arjarnbomb.blogspot.com/2009/08/thief-burglar-robber.html
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
First time, BB Gun

I've wondered what is BB Gun. I've searched from the Google and found that it means Ball Bearing and BB is a pellet of .177 or 4.5mm caliber ammunition for an airgun. Anyway, that's just a technical information. The thing is when I'm in the real field, I mean the BB Gun field, what I can do for it? or I'm just there and stay still like a fixed target for others to shoot because I'm a coward. There are many service providers in Thailand, especially in Bangkok, where I can use a service from them. Different places have different its own quality of services. Tomorrow, I'm going to play BB Gun for the first time in my life with some of my Birdie City FC teammates at Thonburi Plaza BB Gun. It's a place of my friend's brother. I hope it'll be good experience I'm looking for and I come for it!!!

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)